วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555



ดูอาอฺที่รัก

ชายผู้มีคุณธรรมคนหนึ่งนามว่า อะหฺมัด บิน หัรบ์ มีลูกชายที่น่ารักอยู่คนหนึ่ ตั้งแต่เด็กๆมาแล้วเขาถูกสอนให้รู้จักอัลลอฮฺ ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเชื่อมั่นในพลังอำนาจของพระองค์ อัลลอฮฺเท่านั้นเป็นผู้ทำให้เป็นหรือทำให้ตายพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพแก่มวลมนุษย์
ทุกวันคุณพ่อจะสอนลูกว่า
"ลูกจ๋า เวลาลูกขออะไรน่ะ ให้ขอจากอัลลอฮฺน่ะ อย่าขอจากสิ่งอื่น"ลูกตัวเล็กๆรับปากกับคุณพ่อและถามว่า
"จะให้ลูกทำอย่างไรครับ คุณพ่อ?"
"เธอไปที่ตู้กับข้าวนะ แล้วจงยกมือขึ้นขอดุอาอฺว่า โอ้อัลลอฮฺ! ข้าพระองค์ขอสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามที่เธอต้องการ.....ดังนั้นขอพระองค์ทรงประทานให้แก่ฉันด้วยเถิด อามีน"คุณพ่อแนะนำวิธีให้ลูก
ทุกวันคุณพ่อจะบอกให้คุณแม่เอาสำรับกับข้าว ของหวานของคาว เครื่องดื่มที่ลูกชอบใส่ไว้ในตู้กับข้าวทุกวัน ด้วยเหตุนี้เมื่อใดที่ลูกต้องการกินอาหารแกก็จะไปที่ตู้กับข้าวยกมือขึ้นขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺ ทุกครั้งที่แกเปิดตู้กับข้าวก็จะพบอาหารเตรียมเอาไว้ให้ ทุกครั้งไป ทำให้เด็กน้อยเชื่อมั่น (ยากีน) ว่าอัลลอฮฺทรงประทานอาหารให้อย่างแน่นอนหากเราขอดุอาอฺด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์
วันหนึ่งคุณแม่ลืมเอาอาหารใส่ไว้ในตู้กับข้าว ทั้งคุณพ่อคุณแม่ออกจากบ้นไปแล้ว เด็กน้อยผู้เป็นลูกชายรู้สึกหิวขึ้นมาจึงเดินไปที่ตู้กับข้าวและทำเช่นที่เคยทำทุกครั้งคือยกมือขึ้นวิงวอนขอดุอาอฺ

"โอ้อ้ลลอฮฺ ฉันอยากกินโรตี ขอพระองค์ได้โปรดประทานแกข้าเถิด"
เมื่อแกเปิดตู้กับข้าวออก ปรากฏว่ามีโรตีวางอยู่ กลิ่นของมันหอมหวานกว่าที่เคยทานมา เจ้าหนูน้อยยกมันออกมาทานด้วยความเอร็ดอร่อย
ฝ่ายคุณแม่เมื่อนึกขึ้นมาได้ก็รู้สึกตกใจเกร่งว่าลูกขอดุอาอฺแล้วไม่เจออะไร แกอาจต้องขาดความเชื่อมั่นในอัลลอฮฺแน่เลย จึงรีบชวนคุณพ่อกลับบ้านด้วยความวิตกกังวล เมื่อมาถึงบ้านจึงรีบเป็ดประตูเห็นลูกกำลังทานโรตีอยู่ นางประหลาดใจและถามลูกว่า
"ลูกได้โรตีมาจากไหนจ๊ะ?"
เด็กน้อยตอบว่า"อัลลอฮฺให้ครับ ลูกขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ แม่ครับวันนี้โรตีอร่อยกว่าทุกๆวันเลย"
คุณแม่มองหน้าคุณพ่อด้วยความอิ่มเอิบ ลูกหารู้ไม่ว่าทุกวันนั้นคุณแม่ใส่อาหารเอาไว้ให้ วันนี้คุณแม่ลืมแต่ด้วยความเชื่อมั่นที่บริสุทธิ์สะอาดของเด็กน้อย อัลลอฮฺจึงประทานความเมตตาของพระองค์ลงมา
"อัลหัมดุลิลลาฮฺ!"คุณแม่คุณพ่ออุทานพร้อมกัน

# ดุอาอฺที่บริสุทธิ์ไม่มีอะไรเจือปนนั้นอัลลอฮฺจะทรงรับเสมอ โดยเฉพาะคนที่มีวัยน้อยๆอย่างลูกๆซึ่งไม่มีบาปติดตัวมากมายขอดุอาอฺอัลลอฮฺจะรับง่ายกว่าผู้ใหญ่ที่มีบาปมากมายเสียอีกดังนั้นจงพร่ำวิงวอนขอดุอาอฺให้มาก ขอให้คุณแม่ คุณพ่อ พี่น้องร่วมสายเลือด พี่น้องมุสลิมทั้งโลก โดยเฉพาะขอให้พี่น้องมุสลิมที่ถูกกดขี่ทำร้ายจากพวกกาฟิรฺในแผ่นดินต่างๆได้รับชัยชนะในการต่อสู้ ขอให้มากๆเถิดแล้วอัลลอฮฺจะทรงรับดุอาอฺของเธอ อินชาอัลลอฮฺ

โดย อ.มันศุรฺ อับดุลลอฮฺ เก็บมาเล่า facebook by…Drslm Al-fathoni

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มีนิทานมาเล่า_นิทานเรื่อง....3 สหาย




เรือใบลำใหญ่ กำลังแล่นอยู่กลางมหาสมุทรแปรซิฟิก คลื่นพายุลมแรงกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที.....ภายในเรือลำนี้ มี 3 สหาย ผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย ประกอบไปด้วย นายอิสลาม นายความสุข และนายรุ่งเรือง ทั้งสามคนนี้เป็นสหายที่รักกันมาก แต่การเดินทางครั้งนี้จำเป็นจะต้องมีใครสักคนเสียสละชีวิตลงจากเรือไป เพื่อให้เรือลอยลำสู่จุดหมายอย่างปลอดภัย...
เมฆก้อนใหญ่รวมตัวปกคลุมท้องฟ้าจนมืดสนิท คลื่นทะเลยักษ์กำลังถาโถมเข้ามา เกือบถึงเรือลำนี้ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ใครบ้างคนอยู่ และใครบ้างคนต้องกระโดลงจากเรือไป..... นายอิสลามพูดขึ้นว่า “เมื่อถึงสถานการณ์คับขันจริงๆ เราจะเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากเรือไป เพื่อพวกนายทั้งสองจะได้มีชีวิตอยู่บนเรืออย่างปลอดภัย
นายความสุขได้ยินเช่นนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า “นายคิดดีแล้วหรอถ้าเรือลำนี้ขาดเสาหลักอย่างนายไป มันจะแล่นต่อไปได้นานแค่ไหน เราอยู่ไม่ได้โดยไม่มีนายนะ ความสุขก็คงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงคงเป็นแค่ความสูขจอมปลอมอย่างแน่นอน”
นายรุ่งเรืองได้ยินเช่นนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า “เราว่านายอิสลามคิดถูกต้องแล้วล่ะ เรือลำนี้ต้องเดินทางอีกไกล ต้องเจริญก้าวหน้าอีกเยอะ นายเป็นพวกหัวโบราณ อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”
นายความสุขไม่พอใจที่นายรุ่งเรืองกล่าวดูหมิ่นนายอิสลามเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า... “นายนั้นแหละคือคนทึ่มีค่ากับเรือลำนี้น้อยที่สุดไม่จำเป็นต้องมีนาย เราก็อยู่กันอย่างสงบและพอเพียงได้”
ก่อนที่สถานกาณ์จะเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ นายอิสลามจึงพูดขึ้นว่า “เราเข้าใจดีว่านายทั้งสองต่างก็มีคุณค่ากับเรือลำนี้แตกต่างกันไป นายความสุขก็เติมเต็มรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ส่วนนายรุ่งเรืองก็สร้างความมั่นคั่งร่ำรวยให้กับเรือลำนี้ได้กินดีอยู่ดี มาโดยตลอด ส่วนตัวเราเองนั้น คงเป็นแค่เสาหลักเก่าๆที่ไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่า หลายคนรู้จัก แต่ไม่เคยเข้าใจ หลายคนเลื่อมใส แต่ไม่เคยศรัทธา....”
ไม่ทันที่นายอิสลามจะพูดจบ คลื่นยักษ์ก็โถมกระหน่ำเข้าใส่เรือใบในชั่วพริบตา ลำเรือค่อยๆเอียงเกือบจมลงสู่ใต้ท้องน้ำ นายรุ่งเรืองเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงตัดสินใจผลักนายอิสลาม ตกลงน้ำทะเลไป....
ด้วยน้ำหนักที่น้อยลงทำให้เรือใบค่อยๆเอียงลำเรือกลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง และสามารถแล่นต่อไปได้...แต่ก็ยังโคลงเคลง หยุดจอดเป็นระยะๆ เพราะความไม่ลงรอยกันของนายความสุข กับนายรุ่งเรือง นายความสุขก็มัวแต่เฮฮาไร้สาระ เพราะขาดหลักยึดเหนี่ยวอย่างนายอิสลาม ความสุขที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงภาพลวงตา ที่หามีคุณค่าไม่! ส่วนนายรุ่งเรืองก็เริ่มขาดความซื่อสัตย์และความมีคุณธรรม โกงกินทุกวิถีทาง กอบโกยผลประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรือลำนี้กำลังแล่นออกจากจุดหมายไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
ผ่านไปไม่นานความปั่นป่วนก็เกินขึ้นบนเรืออย่างไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดเรือลำนี้ก็ไม่สามารถแล่นต่อไปได้ และอัปปางลงในที่สุด
ห่างจากกลางทะเลไป มีเกาะเล็กๆอยู่เกาะหนึ่ง ผู้คนที่นี้มีวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเคยเคารพบูชาผีสางเทวดา ก็เริ่มใช้สติปัญญาเรียนรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า เชื่อว่าอัลลอฮคือพระเจ้าแห่งสากลโลก เลิกพิธีกรรมบูชาเจว็ด มาปฏิบัติการละหมาดเพื่อขอบคุณต่อพระองค์ที่ได้ให้แนวทางที่เที่ยงแท้กับพวกเขา.... ตั้งแต่นายอิสลาม ถูกพัดเข้ามาติดที่เกาะแห่งนี้... หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนไป สร้างความปลาบปลื้มใจให้กับคนบนเกาะเป็นอย่างมาก เมื่อความเป็นอิสลามไปอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ความศิวิไลต์ ย่อมเกิดขึ้น ผู้คนอยู่กันอย่างมีความสุข เป็นความสุขเพื่อพระเจ้าที่จีรังยั่งยืนจนไม่อาจประเมินค่าได้ และอีกไม่นานความรุ่งเรืองก็จะตามมาโดยไร้ซึ่งความหายนะ อย่างที่เคยประสบกับเรือใบในคราวที่ไร้ซึ่ง นายอิสลาม.....

ถอดบทความจาก วารสาร"มดแดงแคมป์"

ละหมาดตามสุนนะห์นบี



การขโมยละหมาดเป็นความชั่วช้ากว่าการขโมยทรัพย์สินเงินทองเสียอีก ดังหะดีษที่บันทึกโดยอิมามอะห์มัด ในหนังสือมุสนัดของท่าน ซึ่งรายงานจากอบีเกาะตาดะห์เล่าว่า ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “ผู้ขโมยที่ชั่วช้าที่สุด คือผู้ที่ขโมยละหมาดของเขาเอง” บรรดาเศาะหาบะฮฺกล่าวว่า “โอ้เราะสูลของอัลลอฮฺ เขาจะขโมยละหมาดของเขาอย่างไรกันเล่า” ท่านเราะสูลตอบว่า “เขาไม่ได้ทำการรุกัวอฺและสุญูดในละหมาดอย่างสมบูรณ์” หรือได้กล่าวว่า “กระดูกสันหลังของเขาไม่ยืดตรงขณะรุกัวอฺและสุญูด” (เล่ม 5 / หน้า 310)

แง่ของการสุญูด ผู้ทำการละหมาดบางคนนั้น เมื่อเขาทำการสุญูด หน้าผากของเขาไม่แตะพื้น บางคนก็ยกเท้าขึ้นมาจากพื้น มีรายงานที่บันทึกโดยอิมามอัล-บุคอรีย์ และอิมามมุสลิม ในหนังสือเศาะหีหของท่านทั้งสอง ซึ่งหะดีษที่รายงานมาจากอัล-อับบาส บิน อับดิลมุฏเฏาะลิบ ว่า ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “ฉันถูกสั่งใช้ให้สุญูดด้วย 7 กระดูก (อวัยวะ) อันได้แก่ หน้าผาก และท่านก็ได้ชี้ไปที่จมูกของท่าน, มือทั้งสอง, เข่าทั้งสอง, และปลายเท้าทั้งสอง” (อัล-บุคอรีย์ หน้า 167 / หะดีษหมายเลข 812, มุสลิม หน้า 202 / หะดีษหมายเลข 490)

การละหมาดโดยสวมเสื้อผ้าที่ยาวระพื้น (การใส่เสื้อผ้ายาวเกินตาตุ่มเป็นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย) ดังคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ถูกบันทึกโดยอิมามมุสลิม ในเศาะหีหฺของท่าน จากรายงานของ อบีซัรฺ ว่า ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า "ในวันกิยามะฮฺ มีบุคคล 3 จำพวก ที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงสนทนากับพวกเขา ไม่ทรงมองไปยังพวกเขา ไม่ทรงทำให้พวกเขาสะอาดบริสุทธิ์ (จากความชั่ว) และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบ” ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าว 3 ครั้ง แล้วอบูซัรจึงกล่าวว่า “พวกเขาพ่ายแพ้และขาดทุนอย่างย่อยยับ พวกเขาคือใครกันหรือ เราะสูลของอัลลอฮฺ” ท่านเราะสูลกล่าวตอบว่า “ผู้ที่ใส่เสื้อผ้ายาวระพื้น ผู้ที่บริจาคทรัพย์หรือทำความดีเพื่อหวังคำชมเชย (อีกนัยหนึ่ง คือ ผู้ที่โกงตราชั่งในการซื้อขาย:อัลค็อฏฏอบีย์) และผู้ที่นำเสนอสินค้าของเขาด้วยคำพูดชวนเชื่อที่ไม่เป็นความจริง” ( หน้า 68 / หะดีษหมายเลข 106 )

มนุษย์เจ็ดจำพวกที่อัลลอฮฺให้ร่มเงาของพระองค์








อบู ฮุร็อยเราะฮฺ -เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮฺ- ได้รายงานว่าท่านนบี -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮฺ วะสัลลัม- ได้กล่าวว่า 






:«سَبْعَةٌ يُظِلُّهُمُ اللَّهُ تَعَالَى فِى ظِلِّهِ يَوْمَ لاَ ظِلَّ إِلاَّ ظِلُّهُ: إِمَامٌ عَدْلٌ ، وَشَابٌّ نَشَأَ فِى عِبَادَةِ اللَّهِ ، وَرَجُلٌ قَلْبُهُ مُعَلَّقٌ فِى الْمَسَاجِدِ ، وَرَجُلاَنِ تَحَابَّا فِى اللَّهِ اجْتَمَعَا عَلَيْهِ وَتَفَرَّقَا عَلَيْهِ ، وَرَجُلٌ دَعَتْهُ امْرَأَةٌ ذَاتُ مَنْصِبٍ وَجَمَالٍ فَقَالَ إِنِّى أَخَافُ اللَّهَ ، وَرَجُلٌ تَصَدَّقَ بِصَدَقَةٍ فَأَخْفَاهَا حَتَّى لاَ تَعْلَمَ شِمَالُهُ مَا تُنْفِقُ يَمِينُهُ ، وَرَجُلٌ ذَكَرَ اللَّهَ خَالِيًا فَفَاضَتْ عَيْنَاهُ» [البخاري برقم 1423، ومسلم برقم 1031]





ความว่า : “มีคนเจ็ดจำพวกที่พระองค์อัลลอฮฺผู้สูงส่งจะทรงกำบังพวกเขาไว้ใต้ร่มเงาของพระองค์ ณ วันที่ไม่มีร่มเงาใดๆ ยกเว้นแต่เพียงร่มเงาของพระองค์เท่านั้น คนเหล่านั้นคือ ผู้นำผู้ทรงธรรม ชายหนุ่มที่เติบโตด้วยการทำอิบาดะฮฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ คนที่มีหัวใจเชื่อมโยงผูกมัดกับมัสยิด สองคนที่รักกันเพื่อพระองค์อัลลอฮฺ พวกเขาติดต่อและพลัดพรากกันเพื่อพระองค์ คนที่มีสาวสวยและสูงศักดิ์มาชวนให้มีเพศสัมพันธ์แล้วเขากลับตอบเธอว่า “ฉันกลัวอัลลอฮฺ” คนที่บริจาคทานอย่างหนึ่งแล้วปิดไว้เป็นความลับถึงขั้นที่มือซ้ายไม่ทราบสิ่งที่มือขวาบริจาค และคนที่ระลึกถึงพระองค์อัลลอฮฺอย่างเงียบๆ แล้วดวงตาของเขาก็เจิ่งนองด้วยน้ำตา” (เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรียฺ เล่ม 1 หน้า 440 หมายเลข 1433, เศาะฮีหฺ มุสลิม เล่ม 2 หน้า 715 หมายเลข 1031)

ละหมาดตะฮัตยุด ธรรมเนียมปฏิบัติของคนดีทั้งหลาย




อนึ่ง โดยแน่แท้ ในจำนวนการงานที่ประเสริฐที่สุดและการเคารพภักดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ศาสนาได้สนับสนุนกระตุ้นให้ปฏิบัตินั้นก็คือ “การกิยามุลลัยลฺ” มันคือธรรมเนียมปฏิบัติของคนดีทั้งหลาย คือการค้าขายของเหล่าผู้ศรัทธา เพราะในช่วงค่ำคืนนั้นเหล่าผู้ศรัทธาจะปลีกตัวอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ร้องทุกข์ต่อพระองค์เกี่ยวกับสภาพการณ์ที่พวกเขาเป็นอยู่ วิงวอนร้องขอความเอื้อเฟื้อของพระองค์ พวกเขาจะง่วนดื่มด่ำด้วยการเข้าเฝ้า(มุนาญาต)พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ด้วยความหวังและนอบน้อมต่อผู้ทรงประทานความดีงามทั้งหลาย ทั้งยังเป็นผู้ให้และเผื่อแผ่ที่ยิ่งใหญ่ มหาบริสุทธิ์ยิ่งเถิดพระองค์อัลลอฮฺ



อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงมีดำรัสอีกว่า
﴿أَمَّنْ هُوَ قَانِتٌ آنَاءَ اللَّيْلِ سَاجِدًا وَقَائِمًا يَحْذَرُ الْآخِرَةَ وَيَرْجُو رَحْمَةَ رَبِّهِ ۗ قُلْ هَلْ يَسْتَوِي الَّذِينَ يَعْلَمُونَ وَالَّذِينَ لَا يَعْلَمُونَ ۗ إِنَّمَا يَتَذَكَّرُ أُولُو الْأَلْبَابِ﴾
ความว่า “ผู้ที่เขาเป็นผู้ภักดีในยามค่ำคืน ในสภาพของผู้สุญูด และผู้ยืนละหมาดโดยที่เขาหวั่นเกรงต่อโลกอาคิเราะฮฺ และหวังความเมตตาของพระเจ้าของเขา (จะเหมือนกับผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺกระนั้นหรือ?) จงกล่าวเถิดมุหัมมัด บรรดาผู้รู้และบรรดาผู้ไม่รู้จะเท่าเทียมกันหรือ? แท้จริงบรรดาผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่จะใคร่ครวญ” (สูเราะฮฺ อัซ-ซุมัร : 9)


มีรายงานจากท่านอบู อุมามะฮฺ อัล-บาฮิลีย์ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«عَلَيْكُمْ بِقِيَامِ اللَّيْلِ فَإِنَّهُ دَأْبُ الصَّالِحِينَ قَبْلَكُمْ، وَهُوَ قُرْبَةٌ إِلَى رَبِّكُمْ وَمَكْفَرَةٌ لِلسَّيِّئَاتِ وَمَنْهَاةٌ لِلإِثْمِ»
ความว่า “จำเป็นสำหรับพวกท่านทั้งหลายในการตื่นขึ้นมากิยามุลลัยลฺ เพราะมันคือธรรมเนียมปฏิบัติของคนดีทั้งหลายก่อนหน้าพวกท่าน มันคือสิ่งที่ทำให้เข้าใกล้พระเจ้าของพวกท่าน และทำให้ความผิดบาปทั้งหลายถูกลบล้างไป และสามารถยับยั้งจากการกระทำที่ชั่วร้าย” (บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์ : 3549 ท่านได้กล่าวว่า สายสืบนี้มีความถูกต้องมากกว่าหะดีษที่ท่านอบู อิดรีส รายงานจากท่านบิลาล และชัยคฺ อัล-อัลบานีย์ ได้วินิจฉัยว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺซึ่งมีปรากฏในหนังสือเศาะหีหฺ อัต-ติรมิซีย์ : 3801)


by...ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

อัต-ตะวักกุล การมอบหมายต่ออัลลอฮฺ



ส่วนหนึ่งของอิบาดะฮฺที่ยิ่งใหญ่นั้นคือการมอบหมายต่ออัลลอฮฺผู้สูงส่งในทุกการงาน นักปราชญ์บางท่านได้กล่าวว่

“ตะวักกัลนั้นคือจิตใจที่ยึดมั่นอย่างแท้จริงกับอัลลอฮฺว่าทรงเป็นผู้นำประโยชน์และปกป้องจากภัยอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเกี่ยวกับโลกนี้หรือโลกหน้า ตะวักกุล คือการที่บ่าวทำการมอบหมายการงานทุกอย่างให้กับอัลลอฮฺสุบหานะฮู วะตะอาลา แสดงออกถึงการศรัทธามั่นและชัดเจนว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถยังประโยชน์หรือให้โทษ นอกจากอัลลอฮฺสุบหานะฮู วะตะอาลา เท่านั้น"
(ญามิอฺ อัล-อุลูม วา อัล-หิกัม 2/497)


พระองค์ได้ตรัสเช่นกันว่า “และจงมอบหมายต่อผู้ทรงเดชานุภาพผู้ทรงเมตตาเสมอ ผู้ทรงเห็นเจ้าขณะที่เจ้ายืนอยู่ และการเคลื่อนไหวของเจ้าในหมู่ผู้สุญูด” (อัช-ชุอะรออ์ 217-219 )
รายงานจากท่าน อะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า แท้จริงท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«إِذَا خَرَجَ الرَّجُلُ مِنْ بَيْتِهِ فَقَالَ: بِسْمِ اللَّهِ تَوَكَّلْتُ عَلَى اللَّهِ، لَا حَوْلَ وَلَا قُوَّةَ إِلَّا بِاللَّهِ، قَالَ : يُقَالُ حِينَئِذٍ هُدِيتَ وَكُفِيتَ وَوُقِيتَ، فَتَتَنَحَّى لَهُ الشَّيَاطِينُ، فَيَقُولُ لَهُ شَيْطَانٌ آخَرُ كَيْفَ لَكَ بِرَجُلٍ قَدْ هُدِيَ وَكُفِيَ وَوُقِيَ» [سنن أبي داود (4/325) برقم 5095]

ความว่า “หากชายคนหนึ่งออกจากบ้านของเขาโดยกล่าวว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันขอมอบหมายต่ออัลลอฮฺ และไม่มีพลังและอำนาจใด ๆ นอกจากด้วยอัลลอฮฺ
ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า จะมีเสียงกล่าวแก่เขาว่า ท่านได้รับการนำทางแล้ว และท่านได้รับการปกป้องแล้ว และได้รับความพอเพียงแล้ว และบรรดาชัยฏอนจะออกห่างไปจากเขา
ชัยฏอนอีกตนหนึ่งจะกล่าวว่า เจ้าจะทำอะไรได้เล่า กับคนที่เขาได้รับทางนำ ได้รับการปกป้อง และได้รับการประกันความพอเพียงแล้ว” (อบู ดาวูด หมายเลข 5095

มีสุนนะฮฺให้อ่านสูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิในวันศุกร์





ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า " من قرأ سورة الكهف في يوم الجمعة أضاء له من النور ما بين الجمعتين " ความว่า "บุคคลใดที่อ่านสูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิในวันศุกร์ แสงสว่างจากรัสมี (นูรฺ) จะประสบกับเขาในระหว่างสองวันศุกรฺ(ศุกร์นี้ถึงศุกร์หน้าว่ากันง่ายๆก็คืนวันพฤหัส เพราะถ้าตามเวลาอาหรับแล้ว วันจะเข้าในเวลามักริบเวลาหมดวันพฤหัสนั้นก็คือช่วงมักริบของวันศุกร์นั้นเอง)" (บันทึกโดยนะสาอีย์,บัยหะกีย์ และอัลหากิม) 
อย่ารอช้าคับ ได้บุญ ได้สวย ใครไม่อ่านแล้วจะเสียใจนะ^-^

วันนี้เรามาถือศีลอดตามซุนนะฮ์นบีกันเถิด





คนมันไม่พ้นจากบาป แต่ก็ต้องพยายาม ความรู้สึกอันต่ำต้อยของตนเองที่มีต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลานั้น การถือศีลอดเป็นหนทางหนึ่งที่จะการแสดงถึงความเป็นบ่าวผู้ต่ำต้อยที่มีต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา บางครั้งเราหิว บางครั้งเราอ่อนแรง เพื่อให้รู้ถึงความเป็นตัวตนแท้จริงของเรา ดังนั้นความรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยเท่านั้น มันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา 

หลักฐานในเรื่องนี้ คือฮะดิษที่ติรมีซีย์ (745) ได้รายงานจากอาอิชะฮ์ (ร.ด.) ว่า

كَانَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم يَتَحَرَّى صَوْمَ الاِثْنَيْنِ وَالْخَمِيسِ

"ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) จะเฝ้าระวัง การถือศีลอดในวันจันทร์และวันพฤหัสบดี"

และติรมีซีย์ ได้รายงานอีกจากอะบีฮุร๊อยเราะฮ์ (ร.ด.) ว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

تُعْرَضُ الأَعْمَالُ يَوْمَ الاِثْنَيْنِ وَالْخَمِيسِ فَأُحِبُّ أَنْ يُعْرَضَ عَمَلِي وَأَنَا صَائِمٌ

"การกระทำต่าง ๆ จะถูกนำเสนอในวันจันทร์ และวันพฤหัสบดี และฉันต้องการให้การกระทำของฉันถูกนำเสนอในขณะที่ฉันถือศีลอด"


อยากให้โพสต์ย้ำเตือนก่อนวันจันทร์หรือวันพฤหัสบดีและวันที่ 13 , 14 , 15 , ตามเดือนอาหรับ และวันอื่น ๆ เพื่อให้พี่น้องได้ตระหนักและฝึกฝนการถือศีลอด โลกหน้าเราจะได้รู้กันสักทีว่า เพราะได้ถือศีลอดในโลกดุนยานั่นไง ศีลอดที่เป็นโล่ห์กำลังปกป้องไฟนรก ความหิวกระหายในวันแห่งการสอบสวนหายไปเพราะได้ถือศีลอด

ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

مَنْ صَامَ يَوْمًا فِي سَبِيلِ اللَّهِ بَعَّدَ اللَّهُ وَجْهَهُ عَنْ النَّارِ سَبْعِينَ خَرِيفًا

"ผู้ใดทำการถือศีลอดในวิถีทางของอัลเลาะฮ์ อัลเลาะฮ์จะทรงให้เขาห่างไกลจากไฟนรกถึง 70 ปี" รายงานโดยบุคอรี(2628)

และหากบางคนคิดว่า "ฉันก็ไม่ได้ทำบาปอะไรมากแล้ว" จะบวชเพื่อให้ห่างไกลไฟนรกทำไมอีก แต่ความจริงสิ่งที่มีคุณค่ากว่านั้นก็คือ ถือศีลอดสุนัตให้มากเพื่อให้อัลเลาะฮ์รัก ดังนั้นหากเราเป็นที่รักของอัลเลาะฮ์จริง ๆ เมื่อไหร่ ขออะไรพระองค์ก็ให้ ไม่โลกนี้ก็โลกหน้าแหละครับ
ได้มีระบุไว้ใน หะดิษกุดซีย์ว่า

وَمَا يَزَالُ عَبْدِي يَتَقَرَّبُ إِلَيَّ بِالنَّوَافِلِ حَتَّى أُحِبَّهُ

"บ่าวของเราจะยังคงใกล้ชิดเรา ด้วยการปฏิบัติสิ่งที่เป็นสุนัตต่าง ๆ จนกระทั้งเรารักเขา" รายงานโดยบุคอรี(6021)
รักท่านนบี ปฏิบัติตามท่านนบี อัลลอฮก็รักด้วย
By: al-azhary

ก็อยลูละฮฺ





ท่านอนัส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
قيلوا فإن الشياطين لا تقيل
ความว่า: พวกท่านจงนอนกลางวันเถิด เพราะแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นไม่นอนกลางวัน[บันทึก โดยอบูนุอัยมฺใน "อัคบารฺ อัศบะฮาน" 1/195 , อัฏเฏาะบะรอนีย์ ใน "อัลเอาสัฏ" 1/13 ลำดับหะดีษที่28, และอัลอิรอกีย์ ใน "อัลมูฎิหฺ" 2/159]

การงีบหลับ หรือ Nap ในภาษาอังกฤษ ในภาษาอาหรับ เรียกว่า ก็อยลูละฮฺ สเปนเรียก เซียสต้า (siesta) เป็นกิจกรรมที่มีมานานแล้ว และเป็นที่นิยมกันหลาย ๆ แห่งทั่วโลก

ในปัจจุบัน กลับมีรายงานการวิจัยมากมาย บอกว่า การนอนกลางวันเพียงเล็กน้อยให้ประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมากเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของสมองในการทำงานได้อย่างมีคุณภาพตลอดวัน ต่างกับผู้ที่ไม่นอนกลางวันซึ่งประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงในช่วงเวลาเย็น

นักวิจัยจากวิทยาลัยสาธารณสุขแห่งฮาร์วาร์ด สหรัฐ ได้ศึกษาข้อมูลสุขภาพจากอาสาสมัคร 2.4 หมื่นคน พบว่าคนที่นอนกลางวันไม่ต่ำกว่า 30 นาทีอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ มีโอกาสตายด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่เคยนอนกลางวันเลยถึง 37% แต่หากนอนกลางวันไม่ถึง 30 นาทีต่อสัปดาห์โอกาสลดความเสี่ยงก็จะมากกว่าคนที่ไม่เคยนอนกลางวัน 12%
http://news.sanook.com/technology/technology_98165.php
เป็นที่ยอมรับเป็นสากลว่าการนอนหลับในเวลากลางวันหรือในภาษาอาหรับเรียกว่า ก็อยลูละฮฺ นั้น ดีอย่างไร และอีกอย่างหนึ่ง การนอนนี้ช่วยให้เรามีแรงในการตื่นขึ้นมาละหมาดในยามค่ำคืนอีกด้วย ประโยชน์คูณไม่รู้เท่าไร อย่างไรก็อย่าลืม ก็อยลูละฮฺ น่ะคับ^^

ปล.อย่าหลับจนลืมทำงานน่ะคับ^^

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลืมละหมาดดุฮาแล้วหรือยัง...






จากท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

أَوْصَانِي خَلِيلِي صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِثَلَاثٍ بِصِيَامِ ثَلَاثَةِ أَيَّامٍ مِنْ كُلِّ شَهْرٍ وَرَكْعَتَيْ الضُّحَى وَأَنْ أُوتِرَ قَبْلَ أَنْ أَرْقُدَ

"มิตรสนิทของฉัน ได้กำชับฉันสามประการ คือ ถือศีลอด 3 วันของทุกเดือน สองรอกะอัตละหมาดุฮา และให้ฉันละหมาดวิตร์ก่อนที่ฉันจะนอน" รายงานโดยมุสลิม (1182)
รายงานจากท่านอบี ซัรร์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

يُصْبِحُ عَلَى كُلِّ سُلَامَى مِنْ أَحَدِكُمْ صَدَقَةٌ فَكُلُّ تَسْبِيحَةٍ صَدَقَةٌ وَكُلُّ تَحْمِيدَةٍ صَدَقَةٌ وَكُلُّ تَهْلِيلَةٍ صَدَقَةٌ وَكُلُّ تَكْبِيرَةٍ صَدَقَةٌ وَأَمْرٌ بِالْمَعْرُوفِ صَدَقَةٌ وَنَهْيٌ عَنْ الْمُنْكَرِ صَدَقَةٌ وَيُجْزِئُ مِنْ ذَلِكَ رَكْعَتَانِ يَرْكَعُهُمَا مِنْ الضُّحَى

"ทุก ๆ อวัยวะข้อกระดูกของคนหนึ่งจากพวกท่าน เป็นซอดะเกาะฮ์ ดังนั้น ทุกการตัสบีห์ ย่อมเป็นซอดาเกาะฮ์ ทุกการกล่าวอัลฮัมดุลิลลาฮ์เป็นซอดาเกาะฮ์ ทุกการกล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์เป็นซอดาเกาะฮ์ ทุกการตักบีรเป็นซอดาเกาะฮ์ การกำชับให้ทำความดีเป็นซอดาเกาะฮ์ การห้ามจากสิ่งต้องห้ามเป็นซอดาเกาะฮ์ และถือว่าเพียงพอจากสิ่งดังกล่าวโดยการละหมาด 2 รอกะอัต ที่เขาได้ละหมาดมันจากเวลาดุฮา(เวลาสาย)" รายงานโดยมุสลิม (1181)

หัวเราะตามสุนนะห์กันหรือป่าว...





ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวว่า

مَا رَأَيْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مُسْتَجْمِعًا قَطُّ ضَاحِكًا﴿
﴾حَتَّى أَرَى مِنْهُ لَهَوَاتِهِ ، إِنَّمَا كَانَ يَتَبَسَّمُ
“ฉันไม่เคยเห็นท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมหัวเราะจนเห็นเหงือกของท่านเลย
แท้จริงการหัวเราะของท่านก็เพียงแค่ยิ้มเท่านั้นเอง”
[บันทึกโดยบุคอรียฺและมุสลิม]
…………………………………
หะดีษบางบทเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านเราะสูลศอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัมลัมหัวเรา

1-เล่าจากสะอฺดว่า อุมัร อิบนุลค๊อฏฏ๊อบได้ขออนุญาตเข้าพบท่านเราะสูล ในขณะที่มีผู้หญิงชาวกุเรชกลุ่มหนึ่งกำลังเข้าพบท่านอยู่ โดยพวกนางส่งเสียงดังจนอุมัรได้ยิน ครั้นเมื่อท่านอุมัรเข้ามา พวกนางก็รีบปกปิดตัวเองด้วยกิริยาสำรวม ท่านนบีจึงหัวเราะ
อุมัรกล่าวว่า : ขออัลลอฮฺทรงให้ท่านหัวเราะเสมอเถิด ขอเอาบิดามารดาของฉันเป็นพลีแก่ท่าน
ท่านเราะสูลกล่าวว่า : ฉันรู้สึกประหลาดใจต่อบรรดาสตรีที่นั่งอยู่กับฉันขณะนี้ เพียงพวกเธอได้ยินเสียงของท่าน พวกเธอก็รีบปกปิดตัวเองทันท
อุมัรกล่าวว่า : โอ้ท่านเราะสูล ท่านนั้นสมควรยิ่งกว่าที่พวกเธอจะต้องกลัว แล้วอุมัรก็หันไปพูดกับผู้หญิงกลุ่มนั้นว่า : พวกเธอผ้เป็นศัตรูกับตัวเอง ทำไมพวกเธอถึงกลัวฉัน แต่ไม่กลัวท่านเราะสูล
พวกผู้หญิงตอบว่า : ก็ท่านดุกว่า และเกรี้ยวกราดกว่า
ท่านเราะสูลจึงกล่าวว่า : พอเถอะอิบนุลค๊อฏฏ๊อบเอ๋ย ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า แม้แต่ชัยฏอนนั้น หากว่ามันพบท่านเดินไปทางใด มันก็จะไปอีกทางหนึ่ง
(บันทึกโดยบุคอรียฺ)

2- เล่าจากอบูฮุร็อยเราะฮฺว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบีศอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยกล่าวกับท่านนบีว่า : ฉันประสบกับความหายนะเสียแล้ว เพราะฉันมีเพศสัมพันธ์ในช่วงกลางวันของเดือนเราะมะฎอน
ท่านนบีกล่าวว่า : ท่านจงไปปล่อยทาสคนหนึ่งให้เป็นอิสระ
ชายคนนั้นตอบว่า : ฉันไม่มีทาส
ท่านนบีกล่าวว่า : ถ้าเช่นนั้นก็จงถือศีลอดติดต่อกันสองเดือน
ชายคนนั้นตอบว่า : ฉันไม่มีความสามารถที่จะทำได้
ท่านนบีจึงกล่าวว่า : ถ้าอย่างนั้นก็จงให้อาหารแก่คนยากจนหกสิบคน
ชายคนนั้นตอบว่า : ฉันไม่สามารถจะหาอาหารได้หรอก
แล้วก็มีอินทผลัมกระจาดหนึ่งถูกนำมาให้ท่านนบี ทานจึงถามว่า : ชายที่ถามปัญหาเมื่อสักครู่อยู่ที่ไหน จงเอาอินทผลัมนี้ไปทำทานเสี
ชายคนนั้นจึงกล่าวว่า : จะมีใครยากจนยิ่งไปกว่าฉันอีกเล่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ไม่มีครอบครัวใดในเมืองที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูกนี้ยากจนยิ่งไปกว่าฉันอีกแล้ว
ท่านนบีหัวเราะแล้วกล่าวว่า : ถ้าอย่างนั้น อาหารนี้ก็สำหรับของครอบครัวของท่านเถิด
(บันทึกโดยบุคอรียฺ)

3- เล่าจากอนัสอิบนุมาลิกว่า ขณะที่ฉันเดินอยู่กับท่านเราะสูลุลลอฮิศอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยท่านส่วมเสื้อคลุมจากเมืองนัจรอน ซึ่งมีขอบริมหนาๆ ชาวอรับชนบทคนหนึ่งได้เดินเข้ามาถึงตัวท่านนบี แล้วดึงเสื้อคลุมของท่านด้วยอาการกระชากอย่างแรง ฉันเหลือบดูที่บ่าของท่านนบี ปรากฏว่าแรงกระชากนั้นทำให้เกิดรอยที่บ่าของท่าน
แล้วอาหรับชนบทคนนั้นก็กล่าวว่า : โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย ขอจงแบ่งทรัพย์สินของอัลลอฮฺที่อยู่กับท่านให้แก่ฉันบ้าง
เมื่อได้ฟังดังนั้น ท่านนบีก็หัวเราะ แล้วสั่งให้แบ่งทรัพย์สินบางส่วนให้แก่เขา
(บันทึกโดยบุคอรียฺและมุสลิม)

4- เล่าจากอนัสว่า มีชายคนหนึ่งเข้ามาหาท่านเราะสูลศอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมขณะที่ท่านกำลังคุฏบะฮฺวันศุกร์อยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺ โดยชายผู้นั้นกล่าวว่า : ช่วงนี้ฝนแล้งเหลือเกิน ขอท่านโปรดวอนขอพระเจ้าของท่านให้ประทานฝนลงมาด้วยเถิด
แล้วท่านนบีได้มองไปยังท้องฟ้า พวกเราไม่เห็นเมฆใดใดเลย ท่านนบีจึงขอฝนจากอัลลอฮฺ ดังนั้น หมู่เมฆก็มารวมตัวกัน แล้วฝนก็ตกลงมาจนกระทั่งเมืองมะดีนะฮฺเจิ่งนองไปด้วยน้ำ และยังคงตกต่อไปจนถึงอีกวันศุกร์หนึ่ง ขณะที่ท่านนบีกำลังขึ้นคุฏบะฮฺในวันศุกร์นั้นอยู่ ชายคนดังกล่าวก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า : พวกเราจมน้ำหมดแล้ว ขอท่านโปรดขอต่อพระเจ้าของท่านให้หยุดยั้งฝนแก่เราด้วยเถิด
ท่านนบีจึงหัวเราะ แล้วกล่าวดุอาอฺว่า : โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้ฝนตกรอบ ๆ เรา อย่าได้ตกลงมา ณ ที่เรา
ท่านกล่าวเช่นนั้นสองครั้ง หรือสามครั้ง หมู่เมฆก็หลีกห่างออกไปจากเมืองมะดีนะฮฺ โดยเบี่ยงไปทางขวาและทางซ้ายของเมือง และไปตกรอบ ๆ มะดีนะฮฺแทน ไม่ตกในมะดีนะฮฺอีก
นี่คือความมหัศจรรย์ของท่านนบีและการที่ดุอาอฺของท่านถูกตอบรับซึ่งอัลลอฮฺได้ทำให้พวกเราประจักษ์
(บันทึกโดยบุคอรียฺ)